วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมา

Doi chaang






ที่ตั้งชุมชนบ้านดอยช้างมีลักษณะพิเศษคือ ภูมิประเทศที่มีภูเขาล้อมรอบสลับซับซ้อนมีความโดด เด่นเฉพาะ เป็นทางผ่านทิศทางของลม ท าให้มีลมพัดผ่านตลอดทั้งวัน และมีความสูงกว่า 1,200-1,800 เมตร จากน้ าทะเล ท าให้อากาศเย็นตลอดทั้งปี ซึ่งในฤดูหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 5 องศา สามารถมาท่องเที่ยวและ พักผ่อนชมความสวยงามของธรรมชาติ ความสูงของภูเขา ทะเลหมอก สัมผัสอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และ ความหลากหลายวิถีชีวิตของชาติพันธุ์ ตลอดจนการศึกษากระบวนการปลูกกาแฟ การผลิต การแปรรูป และลิ้มรส กาแฟสด ที่หอมกรุ่นเข้มข้น กับบรรยากาศแวดล้อมธรรมชาติงดงาม การเดินทางท่องเที่ยวบ้านดอยช้าง เรายินดี ต้อนรับและบริการท่านด้วยความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน และพร้อมที่จะศึกษาและเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่หลากหลายและแตกต่าง เพื่อช่วยกันสร้างสังคม ที่มีความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อกัน ชุมชนดอยช้าง ดอยช้างในอดีต เป็นชุมชนที่เก่าแก่กว่า 100 ปี เป็นชุมชนหนึ่งของชนเผ่าลีซู ซึ่งภาษาลีซู เรียกว่า “แลจวา” จากการบอกเล่าของผู้อาวุโสผู้เกิดและเติบโตที่นี่ ปัจจุบันมีอายุ 72 ปีตอนเป็นเด็กจะอยู่ร่วมกัน เป็นเครือญาติ จะปลูกบ้านแบบใกล้ๆกัน จะเป็นชุมชนขนาดเล็ก ดอยช้างมีไม่กี่ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันตาม โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของลีซู มีผู้น าวัฒนธรรม หมอยาสมุนไพร ประเพณี การด าเนินชีวิตอยู่กับ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในท่ามกลางป่าผืนใหญ่มีสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะเสือที่มักมากินสัตว์ เลี้ยงที่บ้าน หมู ม้า ไก่ เป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของลีซู ต่อมา ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้เคียงกันย้ายมาอยู่ร่วมกัน เป็น ชุมชนใหญ่ การเกษตร ปลูกข้าว ข้าวโพด ผัก ถั่ว เพื่อบริโภคและเพื่อเลี้ยงสัตว์ ภายในครอบครัวการอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความเป็นพี่น้อง และความเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกันให้ความช่วยเหลือกัน มีการแลกเปลี่ยนแรงงานกัน การแบ่งปันกัน มีการให้ยืมเป็นข้าวหรือสิ่งของเป็น สังคมพึ่งพากันและอยู่ร่วมกัน ปัจจุบันชุมชนดอยช้างมี ประชากรประมาณ 6,000 คน และจ านวนครัวเรือน ประมาณ 600 ครัวเรือน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ลีซู อาข่า และจีนยูนนานอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละ ชนเผ่ามีประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง ทั้งภาษา ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต่างก็เคารพและร่วม กิจกรรม ตามประเพณีในโอกาสต่างๆ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อมีงานเลี้ยงตามประเพณี ลีซูก็จะเชิญพี่น้องอาข่ามาร่วมงาน ทางพี่น้อง อาข่า และจีน เมื่อมีงานก็จะเชิญคนในชุมชนมาร่วมงานกัน เป็นการสร้างความ เข้าใจร่วมกัน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยปราศจาก การแบ่งแยกกลุ่มหรือพวกพ้อง

ระบบเศรษฐกิจของดอยช้าง 

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน เนื่องจากได้รับการส่งเสริมในการเพาะปลูกกาแฟบนพื้นที่ สูงมา ท าให้คนในชุมชน ได้เรียนรู้และพัฒนาประสบการณ์การเพาะปลูกกาแฟได้เป็นอย่างดี การคัดเลือกสายพันธุ์ การดูแลต้นกล้า การเพาะกล้ากาแฟ ตลอดจนกระบวนการดูแลกาแฟให้ได้คุณภาพที่ดี ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่มี ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ภูมิอากาศ ดิน น้ า ท าให้ได้ผลผลิตที่ดีและกาแฟที่ได้คุณภาพทั้งความหอมและ รสชาติที่เป็นเลิศดีที่สุดของประเทศไทย และมีผลผลิตทางการเกษตร เป็นพืชเมือง ตามฤดูกาล มะขาเดเมีย บ๊วย ลูกเชอรี่ ลูกพับ และยอดมะระหวาน (ซายูเต้)

กาแฟบ้านดอยช้าง

กาแฟบ้านดอยช้าง มีกลิ่นหอมกรุ่น ได้รสชาติที่กลมกล่อม ทุกคนที่ได้ดื่มกาแฟบ้านดอยช้างจะ ชอบประทับใจ กาแฟบ้านดอยช้างได้รับ การทดสอบคุณภาพ และได้ใบรับรองมาตรฐานคุณภาพกาแฟในระดับ นานาชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะภูมิประเทศ อากาศ ดิน น้ า ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็น พื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกกาแฟ คนในชุมชนบ้านดอยช้างปลูกกาแฟมานานกว่า 30 ปี จากการบอกเล่าของ นายเบโน๊ะ หลีจา ผู้อาวุโสชนเผ่าลีซู อายุ 72 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านดอยช้างกว่า 30 ปี เขาเป็นคนบุกเบิกปลูกกาแฟ ดอยช้าง ขาเป็นผู้น าได้เดินทางไปประชุมกับทางอ าเภอ เห็นหมู่บ้านใกล้เคียงปลูกกาแฟไว้ จึงเกิดความสนใจ จากนั้นได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้แนะน าให้ไปติดต่อ ที่นิคมสงเคราะห์แม่จัน เมื่อกลับมาที่หมู่บ้านดอยช้างได้ชวน ญาติพี่น้อง เพื่อที่จะเดินทาง ไปติดต่อขอกล้ากาแฟศูนย์นิคมฯ เมื่อไปถึง ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้่แนะน าว่าสายพันธุ์ ไหนที่ดี จึงเอากาแฟโรบัสต้า มาปลูกไว้บริเวณบ้าน ลักษณะต้นและใบจะใหญ่ ผลผลิตกาแฟติดน้อยมาก ปัจจุบัน ต้นกาแฟโรบัสต้ามีอยู่ ผู้น าได้ขอพันธุ์อาราบีก้าจากประชาสงเคราะห์ปลูกไว้ในสวน ในช่วงแรกได้ผลผลิตปริมาณไม่มาก ความรู้ในกระบวนการปลูกใช้ประสบการณ์เรียนรู้และทดลอง คนในชุมชนไม่ได้ใส่ใจในการปลูก ผลผลิตที่ปลูกไว้ ไม่ได้ขาย เนื่องจากขาดแหล่งตลาดรับซื้อ การขนส่งยาก เมื่อหน่วยประชาสงเคราะห์มาตั้งในชุมชน มีการส่งเสริม ให้ชุมชนปลูกแจกกล้ากาแฟให้กับครอบครัวลีซู และอาข่า ประมาณ 40 ครอบครัว เพื่อทดลองปลูกในปีต่อมากาแฟของ ผู้ใหญ่บ้าน ที่ปลูกไว้ก่อนสามารถน าไปขายที่เชียงใหม่ โดยสามารถขายได้ กิโลกรัมละ 30 บาท จึงเกิดความคิดว่า น่าจะมีตลาดและ ชาวบ้านเริ่มสนใจที่จะปลูกกาแฟกันมากขึ้น ส่วนกาแฟที่ปลูกไว้รุ่นแรกก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน ชุมชนได้มีการเรียนรู้และพัฒนาศักยาภาพการปลูกกาแฟมากขึ้น กระบวนการปลูกและวิธีการ ดูแลที่ดีได้รับการสนับสนุนข้อมูล จากหน่วยงาน รัฐในระดับหนึ่ง เมื่อหน่วยงานกรมวิชาการเกษตร มาตั้ง หน่วยงานในพื้นที่ดอยช้างได้ทดลองและพัฒนาสายพันธุ์กาแฟอาราบีก้า มีการเพาะกล้าและทดลองปลูกกาแฟ ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกมากขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่ปี ก็มีการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟ มากขึ้น รวมถึงส่งเสริมการ ปลูกไม้ผลหลายชนิด เป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนมากขึ้น ส่วนด้านการตลาดเกษตรกรจะต้องจัดการเป็น ผู้หาตลาดเอง เมื่อผลผลิตกาแฟมีปริมาณจ านวนมาก ชุมชนมีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ตาม ศักยภาพของแต่ละกลุ่มซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมทั้งความรู้ และทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการลงทุนงบประมาณ บุคลากร เทคโนโลยี ผู้ปลูกกาแฟ ในรูปวิสาหกิจชุมชน มีการแปรรูปกาแฟมากขึ้น และบางกลุ่มจดทะเบียนในรูป ของบริษัททางการเพื่อการค้าในตลาดในประเทศและต่างประเทศการเดินทางขึ้นสู่ดอยช้าง มีเส้นทางขึ้นได้ 3 สาย คือ 1. สายอ าเภอแม่สรวย -บ้านตีนดอย-แสนเจริญ-ดอยล้าน-ดอยช้าง (ระยะทาง 28กิโลเมตร จากเชียงราย 75 กิโลเมตร) ถนนเป็นดินแดง รถ 4 WD ไปได้ แต่รถตู้ และรถเก๋งขึ้นไม่ได้ 2. สายห้วยส้าน (อ.แม่ลาว) -ห้วยส้านลีซอ – เกษตรฯ - ดอยช้าง (ระยะทาง 15 กิโลเมตร) ถนนเป็นดินแดงและ ทางขึ้นเขาสูง ถ้าเป็นรถ 4 WD ขึ้นได้ แต่รถตู้ และเก๋งขึ้นไม่ได้ 3. สายอ าเภอแม่สรวย-บ้านตีนดอย- ริมเขื่อนแม่สรวย - ทุ่งพร้าว – ห้วยมะซาง-ห้วยขี้เหล็ก-ห้วยไคร้ - ดอยช้าง (ระยะทาง 34 กิโลเมตร) - 4

ที่มา  http://123.242.165.136/document_file/document/I0170.pdf

แกะรอย “ดอยช้าง” อาณาจักรกาแฟพันล้าน

    เรื่อง : พลอย มัลลิกะมาส / ภาพ : พิชาญ สุจริตสาธิต

    doi-chang1



    “จากแหล่งปลูกฝิ่นขนาดยักษ์… กลายมาเป็นอาณาจักรกาแฟพันล้าน… ความภาคภูมิใจที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยได้รับรู้”
    ย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน สมัยที่ “กาแฟ” ผลิตภัณฑ์ของชาวเขาชาวดอยถูกกดราคาให้เหลือเพียงกิโลกรัมละ 10 – 12 บาท “อาเดล”ผู้ใหญ่บ้านดอยช้างในขณะนั้นตัดสินใจระหกระเหินเดินทางลงจากดอยเพื่อไปหาชายคนหนึ่งนาม วิชา พรหมยงค์ ชายผู้ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องกาแฟแม้แต่น้อย (แต่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเรื่องการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า) ด้วยสัมพันธภาพอันดีและความตั้งใจจริง ทั้งคู่เดินทางกลับขึ้นมาที่ดอยช้างเพียงเพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาปากท้องและการกดราคาเมล็ดกาแฟ แต่นั่นเองกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของแวดวงธุรกิจกาแฟไทย…ที่ในวันนี้ได้ก้าวไกลไปสู่ระดับแนวหน้าของโลกแล้ว 
    TCDCCONNECT ขอพาคุณไปทำความรู้จักกับ “อาณาจักรกาแฟพันล้าน” ที่บริหารงานด้วยทฤษฎีลองทำๆ ไป เดี๋ยวก็รู้ (หรือเรียกให้หรูว่า Learning by Doing) กับหลักสูตร MBA ไร้ตำรา ที่พัฒนาขึ้นจากสองมือและหยาดเหงื่อของชาวดอย (ผู้สำเร็จการศึกษาสูงสุดแค่ชั้นป. 4) นี่อาจเป็นองค์กรที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก เพราะว่าไม่ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขายึดคติว่าของดีไม่ต้องโฆษณา เดี๋ยวก็มีคนบอกต่อเอง (เชื่อใน Word of Mouth) แถมยังเน้นการบริหารจัดการแบบ “อยู่ร่วมกันและช่วยเหลือเกื้อกูล” มากกว่าที่จะยึดติดกับตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นเพียงสิ่งอุปโลกน์ที่มีไว้เพื่อติดต่อกับ ‘คนแปลกหน้า’ เท่านั้น
    วันนี้เราได้คุยกับคุณวิชา พรหมยงค์ ผู้บุกเบิกและผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนธุรกิจกาแฟดอยช้าง
    จุดเริ่มต้นของกาแฟดอยช้าง “แรกๆ ต้องบอกเลยว่า เราไม่แน่ใจในอะไรสักอย่าง ตอนแรกที่ผมตามอาเดลขึ้นไปที่ดอยช้าง บนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปลูกอยู่ กาแฟคือสิ่งที่ผมเห็นเป็นรูปธรรมที่สุด เมื่อของมันมีอยู่แล้วเราก็ทำไป ไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะมาไกลจนถึงวันนี้”
    “ทีแรกผมคิดแค่ว่าจะขยายพื้นที่เพาะปลูกให้ได้สัก 2,000 ไร่ แค่ให้มีปริมาณมากพอที่จะนำมาขายคนกรุงเทพฯ ได้ โดยตั้งใจจะขายให้ได้กิโลกรัมละ 60 – 65 บาท เอาแค่ให้พี่น้องเราอยู่ได้ครับ แต่ทีนี้พอผมศึกษาลึกลงไปจริงๆ กลับพบว่าคุณภาพของกาแฟดอยช้างนั้นสูงมาก สามารถเข้าไปอยู่ในกลุ่มกาแฟหลักพันบาทได้เลย จากนั้นผมก็เลยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ดูทุกอย่างที่เขาทำกันในโลก ทั้งจากที่โคลัมเบีย คอสตาริก้า เคนย่า ฮาวาย ฯลฯ ตั้งแต่เรื่องกระบวนการคั่ว กระบวนการผลิตแบบครบวงจร เพราะมันจะทำรายได้ให้เรามากกว่าการขายเมล็ดกาแฟดิบอย่างเดียวครับ”
    “จนทุกวันนี้ผมพูดได้เลยว่า ดอยช้างคือแหล่งผลิตกาแฟแห่งเดียวในโลกที่ผลิตกาแฟแบบครบวงจร นับตั้งแต่ปลูก เก็บผลผลิต คั่ว ส่งออก และขายเป็นกาแฟสำเร็จรูป”




    doi-chang2




    ร่วมด้วยช่วยกัน สร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก “ผมขึ้นมาที่ดอยช้างนี่เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ไม่อยากจะใช้คำว่ามา ช่วย’ หรอกครับ เรียกว่ามา ‘อยู่ร่วมกัน’ ดีกว่า ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการที่คนเราได้มีโอกาสมาพบกัน มาอยู่ร่วมกัน มาเรียนรู้และสร้างงานร่วมกันด้วยความจริงใจนั้น มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากคนบนดอยช้างก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจมาจากไหน ตัวผมเองก็เรียนหนังสือมาน้อย ส่วนอาเดลเรียนจบแค่ ป.2 คนอื่นๆ ก็จบป.4 บางคนก็ไม่มีการศึกษาเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าถามว่าอะไรทำให้แบรนด์ดอยช้างมาไกลได้ถึงขนาดนี้ ผมตอบได้คำเดียวว่าเพราะความตั้งใจครับ”
    “ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี เรากลายเป็นสุดยอดกาแฟระดับโลกที่ได้ Organic Certification ของ USDA, Organic Farming ของ E.U. และได้คะแนน Cup Testing Quality 93% จากการส่งกาแฟ Single Estate Pea Berry Medium Roast (กาแฟตัวท็อปของดอยช้าง) ไปแข่งขันตรวจสอบเรื่องคุณภาพที่สถาบันใหญ่ 2 แห่ง คือ Coffee Cupper และ Coffee Review ถือว่าเราได้เรทติ้งที่สูงมากแบบไม่คาดคิดมาก่อนครับ”
    ยิ่งใหญ่ในเวทีสากล “เราตั้งเป้าไว้ว่าจะขายที่เมืองไทยประมาณ 3% ครับ มากที่สุดก็ไม่เกิน 5% ที่เหลือจะส่งไปขายในร้านระดับท็อปๆ ของโลก ที่เราทำตลาดในต่างประเทศมากกว่าในประเทศนั้น เป็นเพราะสมัยก่อนไม่มีใครยอมรับเรา เราเคยได้พยายามนำเสนอกาแฟดอยช้างให้กับคนไทยแล้ว แต่มันขายไม่ได้เลยน่ะสิ ผมว่าอาจเป็นเพราะสมัยก่อนคนไทยยังกินกาแฟไม่เป็น เห็นน้ำดำๆ ก็เรียกกันว่ากาแฟแล้ว”
    “เราจำเป็นต้องออกไปเสนอตัวยังต่างประเทศ ส่งผลิตภัณฑ์ไปทำ Cup Testing จนได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า ‘กาแฟดอยช้าง’ เป็นกาแฟที่ดีมาก เราใช้เวลากว่า 4 ปี ในการปรับปรุงคุณภาพนะ พอเราทำได้ในระดับท็อปของโลก เราก็อยากกลับมาทำตลาดในประเทศบ้าง เพราะอยากให้คนไทยได้ดื่มกาแฟดีๆ ในราคาที่เหมาะสม”
    เอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างความรู้สึกพิเศษ “กาแฟดอยช้างเป็นกาแฟตัวหนึ่งที่ได้รับคำชมเชยอย่างมากจากผู้คั่ว (ไม่ใช่ผู้บริโภค) เขาชมกันมามากมายว่า ไม่ว่าจะคั่วยังไงก็ได้รสชาติอร่อย เมื่อคั่วอ่อนที่สุดก็จะเจอคาแร็คเตอร์แบบหนึ่ง คั่วปานกลางก็จะเจอคาแร็คเตอร์อีกแบบหนึ่ง ทุกสเต็ปตั้งแต่อ่อนสุดไปจนถึงเข้มสุด กาแฟเรารสชาติดีหมด ซึ่งกาแฟลักษณะนี้หายไปนานกว่า 30 ปีแล้ว”
    นอกจากนั้นเรายังสามารถเบลนด์กาแฟคั่วอ่อนกับกาแฟคั่วเข้มเข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นคาแร็คเตอร์ใหม่ซึ่งได้รับความนิยมและขายดีมากในประเทศแคนาดา จะว่าไปแล้วทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิดที่ว่า เราอยากผลิตกาแฟดีมีคุณภาพ ส่วนในเรื่องของรสชาติ …มันเป็นสิ่งที่ตามมาเอง”




    doi-chang3




    ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท สู่ความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ “คนไทยควรภาคภูมิใจนะ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ปลูกกาแฟเองโดยไม่เคยเป็นอาณานิคมใคร เพราะตั้งแต่สมัยโบราณ กาแฟ อ้อย ฝ้าย ฯลฯ เขาจะปลูกกันในพื้นที่ที่เป็นอาณานิคมของประเทศอื่น แต่เราพัฒนาของเราเองหมด โดยเฉพาะกาแฟอราบิก้าที่ต้องปลูกบนที่สูง (บนดอย) ดอยช้างนั้นแต่เดิมเป็นแหล่งปลูกฝิ่นที่มีพื้นที่ใหญ่มาก (และมีคุณภาพดีที่สุด) แต่เมื่อพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวคิดให้ปลูกกาแฟทดแทนการปลูกฝิ่น พระองค์ท่านก็ได้พระราชทานสายพันธุ์กาแฟดีๆ ให้เรา ซึ่งบนดอยช้างเรามีอยู่ 3 สายพันธุ์หลัก คือ คาทูร่า คาทุย และคาติมอร์ ซึ่งแต่ละตัวก็เป็นตัวท็อประดับโลกครับ”
    “ผมกล้าพูดได้เลยว่า โครงการในพระราชดำริของในหลวง 99.9% สามารถทำได้หมด หลายๆ อย่างอาจต้องใช้เวลากว่าจะหยั่งรากลึกให้เกษตรกรมีความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างเช่น โครงการในพระราชดำริที่ส่งเสริมให้ชาวเขาทำไร่กาแฟทดแทนไร่ฝิ่นนี่เราเริ่มต้นกันตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศ (ไทย – เยอรมัน) และกรมวิชาการเกษตรที่ได้นำสายพันธุ์กาแฟที่ดีมาให้วิจัยพัฒนา พร้อมตั้งศูนย์ค้นคว้าทดลองต่างๆ ไว้ที่บนดอยนี่แหละ”
    ดอยช้าง อะคาเดมี่ ออฟ คอฟฟี่ (Doi Chang Academy of Coffee) “เราสร้างศูนย์การเรียนรู้เพื่อสอนทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับกาแฟ โดยเราเชิญอาจารย์จากหลายๆ แห่งมาสอน วิเคราะห์ วิจัย เพื่อให้ความรู้กับเกษตรกร ทุกวันนี้มีพี่น้องเกษตรกรจากที่อื่นๆ ตลอดจนสถาบันการศึกษาจากต่างประเทศมาขอเรียนกับเรา ทั้งในเรื่องของกาแฟและเรื่องการสร้างชุมชน เขาอยากรู้ว่าเราสามารถสร้างชุมชนเล็กๆ สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และสร้างตราสินค้าที่โด่งดังไปทั่วโลกได้อย่างไร ซึ่งเราไม่หวงวิชาความรู้หรอกครับ ความรู้เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรแบ่งปันกัน”
    จาก “คอฟฟี่” สู่ “คอสเมติกส์” และความฝันในอนาคตของ “ดอยช้าง” นอกจากเรื่องกาแฟแล้ว เรายังมีแผนจะแตกไลน์ธุรกิจใหม่ จะเปิดบริษัทใหม่ชื่อว่า ‘ดอยช้าง คอฟฟี่ คอสเมติกส์’ โดยเราจะเอากาแฟคุณภาพต่ำลงมา (ที่ไม่ใช่เกรดของกาแฟชงดื่ม) มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่น เช่น สบู่กาแฟเอสเพรสโซ่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เราทำออกมา ตอนนี้ได้กลายเป็นสินค้าขายดีในประเทศเกาหลีไปแล้ว นอกจากนั้นเราก็กำลังศึกษาวิจัยเรื่องการทำเดย์ครีมและไนท์ครีมจากกาแฟ โดยทีมงานก็เป็นพี่น้องบนดอยนี่แหละ เป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ ก็ช่วยกันบริหารจัดการกันเอง”
    “เคยมีคนถามผมว่า ‘เป็นไปได้จริงหรือที่ในอนาคตดอยช้างจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนถึง 5,000 พันล้านบาท’
    ผมตอบเลยว่า ง่ายมากถ้าไม่ฆ่าตัวตายเสียก่อน อย่างตอนนี้กาแฟดอยช้างในเมืองไทยขายอยู่กิโลกรัมละ 1,000 – 1,600 บาท ในต่างประเทศราคาอยู่ที่ 60 – 200 เหรียญ เพราะฉะนั้นถ้าเราขาย 1,000 ตัน ได้ตันละ 1 ล้าน ถ้าผลิตได้ 5,000 ตัน ก็คือ 5,000 ล้านแล้ว”
    แต่เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้น ในอนาคตเราตั้งเป้าว่าจะไม่ขายเมล็ดกาแฟดิบ แต่จะขายเฉพาะกาแฟแปรรูปที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเราได้ ที่สำคัญเราอยากเอาเม็ดเงินที่ได้สร้างร่วมกันนี้ไปสร้างโอกาสให้คนรุ่นต่อๆ ไป โดยมีแผนการจะเปิดเป็นมูลนิธิดอยช้าง นำเงินไปสร้างสนามฟุตบอล สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ฯลฯ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสร้างดาวเทียมของเราเองในอนาคต”




    แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม : หนังสือ กาแฟดอยช้าง บันทึกการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีกาแฟไทยและพี่น้องชาวดอยwww.smethailandclub.com/web/category/inside/id/723/parent_is/1

    รายการสินค้า

    การปลูกและการดูแลรักษา
              ระยะปลูกระหว่างต้นและแถว  ระยะ 3 ถึง 4 x 3 เมตร อายุต้นกล้า 6 ถึง 14 เดือน และควรมีการทำร่มเงาชั่วคราวหรือปลูกพืชให้ร่มเงา เช่น สะตอ แค กระถิน เป็นพืชร่วมด้วย
    การเตรียมพื้นที่

              พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นพื้นที่ที่มีความสูง ประมาณ 800 ถึง 12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความลาดชันไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และต้องทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง การโค่นล้มพืชพรรณเก่าในพื้นที่ อาจจะโค่นล้มแบบเหลือตอ หรือโค่นล้มแบบถอนราก การโค่นล้มอาจจะเว้นต้นไม้เก่าไว้บ้างเพื่อใช้เป็นไม้ร่มเงา ซึ่งต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของไม้ร่มเงาด้วย หลังจากโค่นล้มต้องมีการกำจัดพืชพรรณเก่าในแปลงโดยการกองแล้วเผาให้สะอาด เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มเตรียมในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง (ประมาณเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม) ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ชั้นดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร มีความเป็นกรดด่าง 5.5  ถึง 6.5 และสามารถระบายน้ำได้ดี

    การเตรียมต้นกล้ากาแฟ  

    ขั้นตอนที่ 1 เตรียมต้นกล้า
    • เตรียมแปลงเพาะเมล็ดกาแฟโดยใช้ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 1 ต่อ 1 เกลี่ยลงในกระบะหรือแปลงที่สามารถระบายน้ำได้ดี ซึ่งแปลงเพาะเมล็ดนี้ควรอยู่ในโรงเรือนที่มีหลังคาบังแดดให้แสงเข้าได้ 50 เปอร์เซ็นต์ และปราศจากสัตว์เลี้ยงเข้าไปขุดคุ้ย รบกวน
    • นำเมล็ดพันธุ์กาแฟที่แช่น้ำผสมยาฆ่าเชื้อรา เช่น สารประกอบทองแดง แช่ไว้เป็นเวลา 1 คืนมาเพาะลงในแปลงที่เตรียมไว้ โดยใช้ไม้กดเป็นร่องห่างกันประมาณ 5 เซนติเมตร แล้วโรยเมล็ดลงไป
      หมายเหตุ: เมล็ดพันธุ์กาแฟที่ใช้ควรเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มาจากต้นแม่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้  มีอัตราการงอกสูง (เมล็ดไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน)
    • รดน้ำอย่างสม่ำเสมอจนเมล็ดงอกขึ้นมา ระยะเวลาจากการที่มีเมล็ดงอกขึ้นมาเป็นระยะหัวไม้ขีด ใช้เวลาประมาณ 30 ถึง 45 วัน และระยะที่มีใบเลี้ยงหรือระยะปีกผีเสื้อ ใช้เวลาประมาณ 46 ถึง 60 วัน ให้ทำการถอนต้นกาแฟไปปลูกต่อในถุงพลาสติกที่เตรียมไว้
    ขั้นตอนที่ 2 เตรียมถุงพลาสติกใส่ดิน

    ส่วนผสมของดินที่จะนำมาบรรจุถุงมีดังนี้
    • หน้าดินดำ จำนวน 5 ปี๊บ (หากไม่มีหน้าดินดำใช้ดินร่วน ทรายหยาบ และขี้เถ้าแกลบชนิดละ 1 ส่วน)
    • ปุ๋ยคอก จำนวน 1 ปี๊บ
    • ปูนขาว (โดโลไมท์) จำนวน 200 กรัม
    • หินฟอสเฟต (0-3-0)  จำนวน 200 กรัม
    • ฟูราดาน จำนวน 25 กรัม
    ขั้นตอนในการทำ มีดังนี้
    • นำส่วนผสมมากองเป็นชั้นๆ ไล่จากส่วนผสมที่มีปริมาณมากที่สุดไปไปหาปริมาณน้อยที่สุด (ดิน > ปุ๋ยคอก > ปูนขาว > หินฟอสเฟต > ฟูราดาน ตามลำดับ) นำมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
    • เตรียมถุงพลาสติกสีดำสำหรับใช้เพาะกล้า  โดยขนาดถุง กว้าง 7 นิ้ว สูง 10 นิ้ว (ถุง
    ไม่พับ) หรือกว้าง 4 นิ้ว สูง 10 นิ้ว (ถุงพับที่ก้น) เจาะรูระบายน้ำ จำนวน 3 แถว โดยให้แถวแรกห่างจากก้นถุงประมาณ 2 ถึง 3 นิ้ว
    • นำดินที่ผสมแล้วไปบรรจุในถุงให้แน่นและใส่ให้เต็มจนถึงปากถุง เท่ากับจำนวนกล้าที่เพาะเมล็ดไว้ นำไปเรียงไว้ในเรือนเพาะชำ แล้วถอนต้นกล้าที่งอกจากเมล็ดที่เพาะไว้ในระยะหัวไม้ขีด ถึงระยะปีกผีเสื้อนำมาในถุงพลาสติก
    หมายเหตุ: หากต้นกล้าแก่เกินไปจนเกิดใบจริงและจะทำให้รากยาวเกินไป ก่อให้เกิดปัญหารากคดงอระหว่างย้าย และส่งผลต่ออัตราการรอดชีวิตต่ำ
    • ให้น้ำสม่ำเสมอเช้าและเย็น จนต้นกล้าเจริญเติบโต ซึ่งใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 8 ถึง 12 เดือน โดยต้นกล้าที่ดีจะต้องมีลักษณะต้นตรง มีความแข็งแรง ทุกข้อมีจำนวนใบอยู่ครบ  ไม่มีโรคและแมลงเข้าทำลาย มีความสูงประมาณ 45 เซนติเมตร มีจำนวนข้อประมาณ 6 ถึง 8 ข้อ (มีใบ 6 ถึง 8 คู่)
    • ต้นกล้าที่พร้อมจะนำไปปลูก จะต้องผ่านการทดสอบให้ได้รับแสงแดดมากขึ้นประมาณ 1 เดือนก่อนนำไปปลูก เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงและมีอัตรารอดตายสูงเมื่อนำไปปลูกลงในแปลง
    การปลูก 

              การปลูกกาแฟโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและความต้องการของผู้ปลูกเองหลักการโดยทั่วไปคือ การกำหนดระยะปลูก ประชากรที่เหมาะสมของกาแฟที่จะให้ผลผลิตที่ดี จะอยู่ประมาณ 150 ถึง 200 ต้นต่อไร่แต่สามารถที่จะเพิ่มหรือลดจำนวนกว่าปกติได้ ขึ้นกับวิธีการปลูกดังนี้ คือหากจะเพิ่มจำนวนให้มากกว่านี้ การตัดแต่งต้นกาแฟจำเป็นจะต้องออกแบบให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นกาแฟสามารถรับแสงเต็มที่ในการติดดอกออกผล บางครั้งจะต้องตัดทั้งต้นสลับแถวเพื่อให้เกิดช่องว่างในพื้นที่  แล้วต้องเลี้ยงต้นใหม่จนอายุ ประมาณ 3 ปีก็จะออกดอกติดผลอีก แต่ก็ต้องตัดต้นกาแฟในแถวใกล้เคียงกันออกเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับต้นใหม่เช่นกัน โดยมีหลักการว่าต้นกาแฟจะติดดอกออกผลเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปีและต้นกาแฟที่อายุมากขึ้นจะให้ผลผลิตลดลงและการจัดการจะยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นการจัดการวิธีการปลูกจะต้องวางแผนให้แน่นอนและชัดเจน

              การปลูกส่วนมากแล้วจะมาจากต้นกล้าที่ชำในถุงพลาสติก  ดังนั้นก่อนที่จะนำลงปลูกในหลุมจำเป็นที่จะต้องนำถุงพลาสติกออกเสียก่อน แล้วนำมาวางในหลุมที่ขุดให้มีขนาดพอใส่ถุงลงได้ และระมัดระวังอย่าให้รากแก้งคดงอ หลังจากนั้นนำดินมาใส่ให้เต็มโคนต้นและกดรอบๆ โคนต้นให้ดินแน่น ในกรณีที่ปลูกจากต้นกล้าที่ชำในแปลง และมีการถอนรากควรเลือกช่วงปลูกที่มีฝนตกสม่ำเสมอ หากฝนไม่ตกควรรดน้ำจนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้

              ไม้ร่มเงา เป็นวิธีการที่นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาแก่ต้นกาแฟในระยะแรก และมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน โดยไม้บังร่มกาแฟแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ไม้บังร่มเงาชั่วคราว และไม้บังร่มเงาถาวร โดยไม้ร่มเงาชั่วคราว ได้แก่ พืชล้มลุก เช่น ข้าวโพด ปอเทือง กล้วย เป็นต้น ส่วนไม้ร่มเงาถาวร ได้แก่ ไม้ยืนต้น เช่น สะตอ ทองหลาง มะพร้าว แค ขี้เหล็ก เป็นต้น แต่การปลูกไม้ร่มเงานั้นควรมีการจัดการตัดแต่งไม้ร่มเงา เพื่อให้ต้นกาแฟได้รับแสงที่เหมาะสมเพื่อการติดดอกออกผลที่เต็มที่ด้วย เพราะบางครั้งหากการจัดการไม่ดี ไม้ร่มเงาจะเป็นตัวต้นเหตุของการทำให้ผลผลิตกาแฟลดลงได้เพราะจะเป็นการบังต้นกาแฟมากเกินไป และอาจจะแย่งน้ำและอาหารจากต้นกาแฟได้

    ระยะปลูก 

              ระยะปลูกที่เป็นมาตรฐาน คือ ระยะ 3 x 3 เมตร จะได้ปริมาณต้นกาแฟ จำนวน 177 ต้นต่อไร่ การปลูกที่มีการวางแผนจะเป็นการปลูกในลักษณะตัดเป็นแถว เรียกว่าการปลูกแบบฮาวาย ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องจัดระยะชิดกว่าที่กล่าวมา  ดังนั้นการเตรียมหลุมปลูก  หากมีการไถพรวนอย่างดีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขุดหลุมให้มีขนาดกว้างมากนัก แต่หากไม่มีการไถพรวนจำเป็นที่จะต้องขุดหลุม ให้มีขนาดกว้าง 50 x 50 x 50 เซนติเมตร แล้วทำการกลบหลุม  ในขณะที่มีการเริ่มปลูกควรใส่ปุ๋ย Rock Phosphate (ปุ๋ยรองหลุม) จำนวนประมาณ 200 กรัมต่อหลุม
    การให้น้ำ 

              พื้นที่ปลูกกาแฟที่เหมาะสม  ส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นที่ที่มีความสูงในระดับตั้งแต่ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ซึ่งจะอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ  โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร และมีการกระจายของฝนตั้งแต่ระยะเวลา 5 ถึง  8 เดือน ในรอบ 1 ปี นอกจากนั้นยังมีสภาพอากาศหนาวเย็น และมีความชื้นสูง จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบการให้น้ำกับต้นกาแฟ และหากปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลยืนต้น หรือปลูกกาแฟภายใต้สภาพร่มเงาร่วมกับไม้ป่าโตเร็ว รวมถึงการคลุมโคนต้นก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ปลูกไม่ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน
    การตัดแต่งกิ่ง 

              การตัดแต่งแบบต้นเดี่ยวของอินเดีย (Indian Single Stem Pruning) หรือการตัดแต่งแบบทรงร่ม (Umbrella) เป็นวิธีการตัดแต่งกิ่งที่ใช้กับกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกภายใต้สภาพร่มเงา โดยมีขั้นตอนดังนี้
    1. เมื่อต้นกาแฟเจริญเติบโตจนมีความสูง 90 เซนติเมตร ต้องตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 75 เซนติเมตร
    2. เลือกกิ่งแขนงที่ 1 (Primary Branch) ที่อ่อนแอทิ้ง จำนวน 1 กิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฉีกบริเวณส่วนกลางของกิ่งและต้องหมั่นตัดยอดที่จะแตกออกมาจากโคนกิ่งแขนงของลำต้นทิ้งทุกยอด และกิ่งแขนงที่ 1 จะให้ผลผลิตในระยะเวลา 2 ถึง 3 ปีก็จะแตกกิ่งแขนงที่ 2 (Secondary Branch) ส่วนกิ่งแขนงที่ 3 (Terriary Branch) และกิ่งแขนงที่ 4 (Quarternary Branch) ให้ผลผลิตช่วงระยะเวลา 1 ถึง 8 ปี
    3. เมื่อต้นกาแฟให้จำนวนผลผลิตลดลง จะต้องปล่อยให้มีการแตกยอดออกมาใหม่ 1 ยอดจากโคนของกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดหรือถัดลงมา และเมื่อยอดสูงไปถึงระดับ ความสูง 170 เซนติเมตร ตัดให้เหลือความสูงเพียง 150 เซนติเมตรโดยการตัดกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่สูงสุดให้เหลือเพียง 1 กิ่ง ซึ่งจะสามารถให้ผลผลิตต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 8 ถึง 10 ปี
                    การตัดแต่งแบบหลายลำต้น (Multiple stem pruning system) วิธีการนี้จะใช้กับต้นกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกอยู่บริเวณกลางแจ้ง โดยจะทำให้เกิดต้นกาแฟหลายลำต้น มาจากโคนต้นที่ถูกตัด แต่คัดเลือกเหลือเพียงลำต้น 2 ลำต้น ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
    1. เมื่อต้นกาแฟมีความสูงถึง 69 เซนติเมตร ให้ทำการตัดยอดให้เหลือความสูงเพียง 53 เซนติเมตร  หากเหนือพื้นดินมียอดแตกออกมาจากข้อโคนกิ่งแขนงที่ 1 จากคู่ที่อยู่บนสุด 2 ยอด จะต้องตัดกิ่งแขนงที่ 1 ทิ้งทั้ง 2 ข้าง
    2. ปล่อยให้ยอดทั้ง 2 ยอด เจริญเติบโตขึ้นไปทางด้านบน ในขณะเดียวกันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะเริ่มให้ผลผลิต
    3. กิ่งแขนงที่ 1 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าความสูง 53 เซนติเมตร จะถูกตัดทิ้งไปหลังจากที่ให้ผลผลิตแล้ว ในขณะเดียวกันกิ่งแขนงที่ 1 ที่อยู่ระดับล่างๆ ของลำต้นทั้งสองก็เริ่มให้ผลผลิต
    4. ต้นกาแฟที่เจริญเติบโตเป็นลำต้นใหญ่  2 ลำต้น จะสามารถให้ผลผลิตอีก จำนวน 2 ถึง 4 ปี และขณะเดียวกันก็จะเกิดหน่อขึ้นมาเป็นลำต้นใหม่อีกบริเวณโคนต้นกาแฟเดิม และควรปล่อยหน่อที่แตกใหม่ให้เจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ และตัดให้เหลือเพียง 3 ลำต้น
    5. ให้ตัดต้นกาแฟเก่าทั้ง 2 ต้นทิ้งและเลี้ยงหน่อใหม่ที่เจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้อีก จำนวน 2 ถึง 4 ปี แล้วจึงทำการตัดต้นเก่าเพื่อให้แตกต้นใหม่อีก
    การคลุมโคนต้นกาแฟ 

              การคลุมโคนต้นกาแฟมีประโยชน์มาก  โดยเฉพาะในช่วงที่สวนกาแฟต้องประสบกับภาวะแห้งแล้ง เป็นการช่วยไม่ให้ต้นกาแฟทรุดโทรมหรืออาจจะตายได้ เนื่องจากขาดความชื้นในอากาศและในดิน นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันวัชพืชที่จะงอกในแปลงกาแฟในขณะที่ทรงพุ่มกาแฟยังไม่ชิดกัน และยังเป็นการป้องกันการพังทลายของดินเมื่อเกิดฝนตกหนัก แต่มีข้อควรระวังในการคลุมโคนต้น คืออาจจะกลายเป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลงศัตรูกาแฟ ดังนั้นการคลุมโคนต้นกาแฟควรจะคลุมโคนต้นให้ห่างจากต้นกาแฟประมาณ 10 ถึง 20 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงศัตรูกาแฟกัดกะเทาะเปลือกกาแฟได้ หรือไม่ให้เกิดอันตรายกับโคนต้นกาแฟในระหว่างที่วัสดุคลุมโคนเกิดการย่อยสลายได้  โดยคลุมโคนต้นให้มีความกว้าง 1 เมตรและหนาไม่ต่ำกว่า 10 เซนติเมตร
    การปราบวัชพืชและการใส่ปุ๋ย

              ควรมีการปราบวัชพืชทุกครั้งก่อนการใส่ปุ๋ย โดยอาจจะใช้ยาปราบวัชพืชหรือการถากถางตามระยะเวลาและความเหมาะสม และการใส่ปุ๋ยก็เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของการปลูกกาแฟ จะต้องพิจารณาทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองว่าต้องเพียงพอกับต้นกาแฟ  ซึ่งจะสังเกตลักษณะของใบได้ ซึ่งมีรายละเอียดมากมายเกินที่จะกล่าวในที่นี้ แต่สูตรปุ๋ยที่ใช้โดยทั่วไป มักจะเป็นสูตรที่มีการมีความนิยม คือ สูตร 15-15-15 หรือสูตร 16-16-16 เป็นต้น วิธีการใส่ปุ๋ยนั้นจะใส่โดยการโรยลงบนดินเป็นลักษณะวงกลมรอบทรงพุ่ม โดยใส่ปุ๋ยในปีที่ 1 ถึง 3 ส่วนต้นกาแฟที่ยังไม่ให้ผลผลิต  ควรใส่ระยะเวลาประมาณ  2 ถึง 3 ครั้งต่อปี โดยใส่ครั้งละประมาณ 100 ถึง 300 กรัมต่อต้น  และควรมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มด้วยเพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดินควบคู่กันไปด้วย
    อ้างอิง http://www.arda.or.th/kasetinfo/south/coffee/controller/01-04.php

    วิธีการชงกาแฟ

    1.บดและตวง

    ใช้กาแฟบดหยาบที่มีลักษณะคล้ายเกลือทะเล โดยตวงกาแฟ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 6 ออนซ์
    เคล็ดลับ: 
    กาแฟก็เหมือนการสร้างผลงาน แต่ละครั้งในการซื้อ ควรซื้อทีละน้อย เพื่อดื่มด่ำกับที่สุดของกาแฟสดใหม่

    2.เติมน้ำร้อน

    ใช้น้ำที่พักไว้สักครู่หลังจากที่น้ำเดือด และเทน้ำลงในเครื่องชงกาแฟ ดูให้แน่ใจว่าเทน้ำให้ท่วมกาแฟที่บดไว้
    เคล็ดลับ: ใช้น้ำกรองหรือน้ำเปล่า เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด

    3.ใส่ก้านชงกาแฟและชง

    หลังจากนั้นใส่ก้านชงกาแฟกลับเข้าไปในเครื่องชงโดยยังไม่ต้องกดก้านชงกาแฟ ให้รอจนครบ 4 นาที

    4.กดและริน

    เมื่อครบ 4 นาทีแล้ว ค่อยๆ กดก้านชงกาแฟลงไปจนถึงสุดก้าน กาแฟหอมกรุ่นก็พร้อมให้คุณได้ดื่มด่ำ
    แหล่งอ้างอิง http://th.starbucks.co.th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F/%E0%B8%A7-%E0%B8%98-%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F

    Doi chaang coffee beans (เมล็ดกาแฟ)



    DOI CHAANG – DECAF COFFEE

    กาแฟสกัดสารคาเฟอีน เป็นกาแฟที่ผ่านการสกัดสารคาเฟอีนออกจากตัวกาแฟโดยกระบวนการ Swiss Water Process ซึ่งจะใช้น้ำในการสกัด โดยไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น กระบวนการสกัดนี้ทำให้สกัดสารคาเฟอีนออกไปได้ 99.99% ซึ่งเป็นปริมาณสารคาเฟอีนที่ไม่มีผลต่อร่างกาย

    น้ำหนัก = 50 g./กระป๋อง ,  ราคา/กระป๋อง = 150.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    Doi Chaang Peaberry (Organic)

    กาแฟพีเบอร์รี่ คัดสรรเฉพาะผลกาแฟเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน ได้รับการ Certified Organic จาก USDA และ EU โดยตรารับรองดังกล่าวเป็นการรับรองว่าสินค้านั้นมีการเพาะปลูก และบริหารจัดการพื้นที่ปลูกภายใต้ข้อกําหนดของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาและจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะปราศจากการใช้ฮอร์โมนช่วยในการเติบโตและยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงวิธีการปลูกที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    น้ำหนัก = 250 g./ซอง  ,  ราคา/ซอง = 420.-  ,  ราคา/กิโลกรัมละ = 1,680.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)


    Doi Chaang Peaberry

    กาแฟพีเบอร์รี่ คัดสรรเฉพาะผลกาแฟเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน กาแพีเบอร์รี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมล็ดกาแฟชั้นคุณภาพ  มีรสชาติที่นุ่มนวลกลมกล่อม เจือความเปรี้ยวของผลไม้เล็กน้อย ผสานกลิ่นดอกไม้ เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบรสชาติโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร

    น้ำหนัก = 250 g./ซอง  ,  ราคา/ซอง = 370.-  ,  ราคา/กิโลกรัมละ = 1,480.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    Doi Chaang Peaberry

    กาแฟพีเบอร์รี่ คัดสรรเฉพาะผลกาแฟเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน กาแพีเบอร์รี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมล็ดกาแฟชั้นคุณภาพ  มีรสชาติที่นุ่มนวลกลมกล่อม เจือความเปรี้ยวของผลไม้เล็กน้อย ผสานกลิ่นดอกไม้ เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบรสชาติโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร

    แบบกระป๋อง = 50 g./กระป๋อง  ,  ราคา/กระป๋อง = 300.- 

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    Whole Bean Premium (Organic)

    เมล็ดกาแฟ พรีเมี่ยม ออแกนิกส์ ได้รับการ Certified Organic จาก USDA และ EU โดยตรารับรองดังกล่าวเป็นการรับรองว่าสินค้านั้นมีการเพาะปลูก และบริหารจัดการพื้นที่ปลูกภายใต้ข้อกําหนดของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาและจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะปราศจากการใช้ฮอร์โมนช่วยในการเติบโตและยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงวิธีการปลูกที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีรสชาติที่เข้มพอดี พร้อมกับความเปรี้ยวเล็กน้อยคล้ายไวน์ขาว และกลิ่นหอมของดอกไม้ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟดอยช้าง ดื่มแล้วให้ความสดชื่น กลมกล่อม

    น้ำหนัก = 250 g./ซอง  ,  ราคา/ซอง = 320.-  ,  ราคา/กิโลกรัมละ = 1,280.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    Whole Bean AA Premium (Dark Roast)

    กาแฟพรีเมี่ยม เกรด AA คั่วเข้ม เลือกใช้เมล็ดที่มีขนาดใหญ่ 7 มิลลิเมตรขึ้นไป รสชาติกาแฟที่เข้ม  ลงตัวตามแบบฉบับของกาแฟดอยช้าง

    น้ำหนัก = 250 g./ซอง  ,  ราคา/ซอง = 320.-  ,  ราคา/กิโลกรัมละ = 1,280.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    Whole Bean Premium

    ลงตัวสำหรับทุกเมนู ด้วยรสชาติที่เข้มพอดี พร้อมกับความเปรี้ยวเล็กน้อยคล้ายไวน์ขาว และกลิ่นหอมของดอกไม้ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟดอยช้าง ดื่มแล้วให้ความสดชื่น กลมกล่อม เป็นเมล็ดกาแฟเกรดที่ร้านกาแฟดอยช้างส่วนใหญ่ใช้เสิร์ฟในร้าน

    น้ำหนัก = 250 g./ซอง  ,  ราคา/ซอง = 250.-   ,   ราคา/กิโลกรัมละ = 1,000.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)



    DOI CHAANG – WILD CIVET COFFEE

    กาแฟขี้ชะมดดอยช้าง เป็นกาแฟที่เกิดจากชะมดป่าตามธรรมชาติ นำมาผ่านกระบวนการล้างให้สะอาด คั่วระดับกลาง ทำให้ได้คุณลักษณะทางด้านกลิ่นและรสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟขี้ชะมดดอยช้าง เป็นกาแฟที่กลมกล่อมนุ่มนวน มีสีคล้ายช็อกโกแล็ต ชนิดเข้มที่มีลูกเกตมีความหวานคล้ายช็อกโกแล็ตบวกกับเชอร์รี่สด ที่มีความเป็นกรดแบบผลไม้คล้ายๆส้ม รสสัมผัสนุ่มละมุน

    น้ำหนัก = 50 g./กระป๋อง ,  ราคา/กระป๋อง = 1,050.-

    (หมายเหตุ : ราคาสินค้าดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

    อ้างอิงจาก http://doichaangcoffee.co.th/


    สนใจติดต่อ เบอร์โทร 087-7251581
    Line ID : Khuntaiii 
    หรืออินบล็อคมาสอบถามทางเฟสบุค : https://www.facebook.com/Taiitaiii-Coffee-Seed-945295982230636/?notif_t=page_fan